ผ่านพ้นกันไปอีกหนึ่งเกมสำคัญของ ลิเวอร์พูล โดยพวกเขาสามารถผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายของศึก ยูโรปา ลีก ได้สำเร็จหลังเอาชนะ เอาก์สบวร์ก ไปด้วยสกอร์รวม 1-0 จาก 2 นัดเหย้า-เยือน
และนี่คือ 5 เรื่องต้องรู้หลังเกมที่ทัพนักเตะหงส์แดงทำผลงานได้ดีเมื่อคืนที่ผ่านมา
5. SFC คือ แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
SFC ไม่ได้แปลว่า ซูเปอร์แฟมิคอม อย่างที่คอเกมรุ่นเก๋าคุ้นเคย หากแต่เป็นชื่อย่อของ 3 ประสานแนวรุกที่ดีที่สุดของ ลิเวอร์พูล ชุดนี้อย่าง สเตอร์ริจด์, เฟอร์มิโน และ คูตินโญ
หลังจากที่เจ้าเต้ยโศกจอมเจ็บ กลับมาฟิตสมบูรณ์ และได้ลงสนามเป็นตัวจริงพร้อม ๆ กันกับคู่หูแซมบ้า ทำให้ คล็อปป์ ได้มีอาวุธหนักในอุดมคติมาใช้งานอย่างจริงจังเสียที
และจาก 2-3 เกมที่ผ่านมา พวกเขาก็แสดงให้เห็นแล้วว่า "คุ้มค่าสมการรอคอย" เพราะด้วยเซนส์บอลที่ทันกัน ผสานกับสไตล์การเล่นที่ลื่นไหลแบบไร้อาการตะกุกตะกัก ทำให้เกมรุกของทีมวูบวาบ มีมิติ และดูอันตรายในพื้นที่สุดท้ายมาก
ฉะนั้นหาก ลิเวอร์พูล จะหวังความสำเร็จอะไรสักอย่างได้ในฤดูกาลนี้ หรือจะจบซีซั่นได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ สามคนนี้แหละคือแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์อย่างแท้จริง
4. ไม่มีตัวสำรองที่ดีพอ
สำหรับเกมที่ภาพรวมของฟอร์มการเล่นนั้นออกมาค่อนข้างดูดี แต่กลับยิงประตูเพิ่มไม่ได้ ย่อมทำให้แฟนบอลรู้สึกอึดอัดไม่น้อย โดยเฉพาะในช่วงท้ายเกมที่พวกเขาจะเสียประตูไม่ได้
แน่นอนเกมแบบนี้ บางครั้งเราต้องการใครสักคนที่จะถูกเปลี่ยนลงมา เพื่อสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้น แต่เมื่อชายตามองไปที่ซุ้มม้านั่งสำรองแล้วก็ดูจะสิ้นหวังทันที
จริงอยูที่ว่า ดิโวค โอริกี และ เจา คาร์ลอส เตเซรา เป็นนักเตะที่ดี แต่พวกเขาก็ยังไม่ดีพอที่จะเป็นตัวความหวัง หรือสร้างความมั่นใจให้มากขึ้นได้เลยแม้แต่น้อย
ฉะนั้นในฤดูกาลหน้าคล็อปป์ อาจจะต้องคิดถึงจุดนี้ให้มากขึ้น หากจะหวังถึงความสำเร็จที่ใหญ่กว่าจุดที่พวกเขายืนอยู่ ณ เวลานี้
3. แผงมิดฟิลด์ฝากความหวังได้ยาก
ถึงแม้ว่าในวันนี้ เจมส์ มิลเนอร์ จะทำผลงานส่วนตัวได้ค่อนข้างดี และยิงประตูชัยได้ แต่เพื่อนร่วมแผงกองกลางอีกสองคนอย่าง เอมเร ชาน และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กลับแทบไม่ได้สร้างประโยชน์ใด ๆ ให้ทีมได้เลย
และเมื่อลองคิดวิเคราะห์ตามแล้ว ก็จะยิ่งน่าใจหายเข้าไปอีกเพราะนี่คือชุดมิดฟิลด์ที่ดีที่สุดของทีม ณ เวลานี้ แล้วด้วย
หากทั้ง เฮนโด้ และ ชาน ยังคงทำผลงานได้กลาง ๆ ค่อนไปทางแย่แบบนี้ต่อไป วันไหนที่พวกเขาจะต้องเจอกับทีมที่เคี่ยวกว่า เอาก์สบวร์ก ล่ะก็ บอกเลยว่ามีพัง
เกมเจอ แมนฯ ซิตี้ ในวันอาทิตย์นี้จึงถือเป็นบทพิสูจน์ชั้นดีว่า ควรจะทำอย่างไรกับตำแหน่งเหล่านี้ในฤดูกาลต่อไป
2. การบ้านของฟูลแบ็ค
ก่อนอื่นต้องขอเอ่ยปากชมการขึ้นมามีส่วนร่วมกับเกมบุกของ ฟูลแบ็คทั้งสองข้างอย่าง อัลแบร์โต โมเรโน และ นาธาเนียล ไคลน์ กันก่อนเลยว่าพวกเขาทำได้ค่อนข้างดีทีเดียว
หากแต่ยังคงมีคำถามที่ต้องขบคิดเกี่ยวกับสองตำแหน่งนี้อยู่ 2 ข้อด้วยกันเช่นกันคือ 1. เมื่อขึ้นเกมบุกมาแล้ว พวกเขาควรทำอย่างไรกับการเข้าถึงพื้นที่สุดท้าย
เพราะจากที่สังเกตเห็นมาก็คือ การเปิดบอลเข้ากลาง การจ่ายบอลต่อให้เพื่อนเล่นในกรอบเขตโทษ นั้นดูเหมือนทำกันแบบขอไปที ส่ง ๆ ยัด ๆ ไปให้กองหน้าแบบไร้เป้าหมาย ไร้ทิศทางเกือบทุกครั้ง ซึ่งหากมองเผิน ๆ ก็ดูเหมือนจะมีประโยชน์ แต่ความเป็นจริงคือเป็นการโจมตีที่ไร้ประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิง
ข้อ 2 คือพวกเขาทำได้ไม่ดีพอในการเล่นเกมรับ ทางด้าน ไคลน์ นั้นอาจจะถอยเร็วหน่อย แต่ก็ดูทำได้ไม่เหนียวแน่นสักเท่าไหร่นัก คล้ายกับจะรับแรงกดดันไม่ไหว
ส่วน โมเรโน นั้นเติมสูงมาก และลงไปไม่เคยทัน ทำให้เกิดเป็นรูโหว่ช่องเบ้อเริ่ม ซึ่งหากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป เกมเจอกับ แมนฯ ซิตี้ ลำบากแน่ เพราะผู้เล่นริมเส้น ของพวกเขา มีความเร็วสูง และเก่งกว่า เอาก์สบวร์ก หลายเท่านัก
1. คล็อปป์ เอาจริงกับ ยูโรปา
ก่อนที่เกมนี้จะเริ่มขึ้น 11 ผู้เล่นตัวจริงนั้นถูกคาดเดากันไปต่าง ๆ นานา ว่าจะต้องมีการใส่ตัวสำรอง และถอดตัวจริงบางตำแหน่งเพื่อพักเอาไว้สำหรับเกมใหญ่กับ แมนฯ ซิตี้ ในคืนวันอาทิตย์แน่
แต่ทันทีที่รายชื่อถูกประกาศออกมา คล็อปป์ ก็แสดงให้เห็นชัดเจนว่าเขาจริงจังกับการไล่ล่าแชมป์บนเวทียูโรปา ลีก นี้มากแค่ไหน เพราะหากไม่นับการถอย ลูคัส ลงไปยืนเซ็นเตอร์ ทุกตำแหน่งคือผู้เล่นที่ดีที่สุดเท่าที่มีอยู่ ณ เวลานี้
และการที่ส่งแข้งตัวหลักลงบู๊ทั้งที่รู้อยู่ว่ามีเวลาพักน้อยมากก่อนเดินทางไป เวมบลีย์ ทำให้ชัดเจนว่า คล็อปป์ เองก็หวังเอาไว้กับ ยูโรปา ลีก ไม่น้อยไปกว่า แคปิตอล วัน คัพ เลยจริง ๆ
0 nhận xét:
Đăng nhận xét